อินเตอร์เน็ต
Internet
ความหมายของอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ต (Internet) นั้นย่อมาจากคำว่า “International network” หรือ “Inter
Connection network” ซึ่งหมายถึง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน
โดยอาศัยตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงเดียวกัน นั่นก็คือ TCP/IP
Protocol ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย
ซึ่งโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้
การที่มีระบบอินเตอร์เน็ต
ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
โดยไม่จำกัดระยะทาง ส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ ทั้งข้อความตัวหนังสือ ภาพ และ เสียง
โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนับเป็นอภิระบบเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่มากมีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบ
ทำให้คนในโลกทุกชาติทุกภาษาสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเดินทางไป
โลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นบ้านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถพูดคุยกันได้ตลอด 24
ชั่วโมง ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย
แต่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโลกปัจจุบันมาก
ความหมายของเวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บ
นิยมเรียกสั้นๆ ว่าเว็บ หรือ WWW ถือเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดบนอินเทอร์เน็ตเพราะสามารถแสดงสารสนเทศต่างๆ
ได้หลากหลาย เช่น นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ข้อมูลด้านดนตรีกีฬา
การศึกษา ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง รวมถึงภาพเคลื่อนไหว
เช่นแฟ้มภาพวีดิทัศน์หรือตัวอย่างภาพยนตร์
และการสืบค้นสารสนเทศในเวิลด์ไวด์เว็บนั้นจำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมค้นดูเว็บ (web
browser)ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
โดยที่เว็บกับโปรแกรมค้นผ่านจะทำหน้าที่รวบรวมและกระจายเอกสารที่เครือข่ายที่ทำไว้
เบราด์เซอร์
(Browser)
ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลเว็บต่างๆทั้งในรูปแบบของ
HTML
(Hypertext Markup language), PHP, CGI, JavaScript ต่างๆเพื่อใช้ในการค้นหาข้อมูลเพื่อความบันเทิงหรือธุรกรรมอื่นๆเป็นต้น
ในอดีตนั้น Web
Browserที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดคงหนีไม่พ้น Web Browser
ของ Netscape ในช่วงนั้น Microsoft ยังไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับ Web Browser มากนัก
แต่ต่อมาไม่นาน Internet ก็ได้มีความเจริญมากขึ้นตามลำดับ Microsoftจึงได้ปล่อย Web Browser ชนิดหนึ่งออกมาสู้กับทาง Netscape
นั้นคือIE (Internet Explorer) ในช่วงแรกของการแข่งขันนั้นทั้ง
2 ได้มีผู้ใช้งานอย่างสูสีกันมาตลอดแต่ในที่สุด IE ก็ได้รับชัยชนะไปและได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันแต่แล้วในปัจจุบันได้มี webBrowser
น้องใหม่ออกมาอีกหนึ่งตัวนั้นคือMozilla Firefox ซึ่งได้ออกมาในภาพลักษณ์ของ web browser ที่มีความปลอดภัยสูงและโหลดหน้าwebpage
ได้เร็วกว่าทาง Mozilla ได้ออกมาบอกว่าได้มีผู้โหลดโปรแกรมนี้ไปใช้งานมากกว่า
ล้านครั้งและมีทีท่าว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆบัดนี้สงคราม web browser
ทั้ง 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
กรุ๊ปแวร์ (Groupware)
กรุ๊ปแวร์ (Groupware) คือ โปรแกรมที่สนับสนุนการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีมและ มักเป็นเครื่องมือในการประสานงานระหว่างการทำงานที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนสามารถใช้สารสนเทศ
ร่วมกันกับผู้อื่นและทำงานร่วมกันในหลาย ๆ โครงการโดยมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
โปรแกรมการจัดการการติดต่อบนเครือข่ายสำเร็จรูปและไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงโปรแกรมการใช้
เอกสารร่วมกัน นอกจากนี้กรุ๊ปแวร์ยังเป็นเครื่องมือในเก็บรวบรวมและบำรุงรักษาความรู้ และความเชี่ยวชาญขององค์กรเพื่อมาแบ่งปันกับทุกคนและทำให้เกิดการจัดการความรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของความร่วมมือภายในองค์กร
โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
XBRL
(eXtensible Business Reporting Language)
คือระบบภาษาทางอิเล็กทรอนิกที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีเครือขายอินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารข้อมูลเป็นการติดรหัสแถบ(Barcode)ของรายการต่างๆของงบการเงินที่นำเสนอซึ่งเป็นการอ้างถึงภาษามาตรฐานของรายงานทางการเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
เป็นภาษาทางคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการนำเสนองบการเงินที่เป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในรูปแบบของสื่อที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้
นอกเหนือไปจากรูปแบบ PDF, HTML หรือรูปแบบ Word/Excel
ที่คุ้นเคยกันมาแต่อดีต ในรูปแบบรายงานทางการเงิน ซึ่งการทำงานของ XBRL
เปรียบได้กับการทำงานของเครื่องอ่านบาร์โค้ด
ทำให้การทำงานถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น เพิ่มความรวดเร็ว และสามารถลดข้อจำกัดในการรวบรวมเอกสารที่มาจากแหล่งต่างที่กัน
ช่วยจัดเก็บเอกสารในรูปแบบที่ทันสมัย สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยี XBRL มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการนำส่งงบการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Filing)
ซึ่งถูกใช้งานกันอย่างกว้างขวางในระดับนานาประเทศรวมถึงประเทศไทย
โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการนำส่งงบการเงินของบริษัทนิติบุคคลทั้งระบบทั่วประเทศใหม่ทั้งหมดซึ่งจากเดิมเคยส่งด้วยรูปแบบเอกสาร
(Hardcopy) มาเป็นรูปแบบใหม่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเทคโนโลยี
XBRL มีการประมวลผลแบบทันที (Real Time) ช่วยลดการจัดเก็บเอกสารจำนวนมาก
อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการนำส่งงบการเงิน
Electronic
Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง
การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร
การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
จุดเด่นของ E-Commerce คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ
ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า
พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น
ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน
จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป
อุปกรณ์และวิธีการทำ
E-commerce
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย
ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล
ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์
แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง
โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี
hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน
สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้
และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ
ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5
ประการ คือ
- การขาย รวมการโฆษณา
แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
- การชำระเงิน
การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี
ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
- การขนส่ง
แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
- บริการหลังการขาย
การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ
สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย
บทบาทภาครัฐกับ
E-Commerce
เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง
ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ
เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ
กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร
ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ
ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน
กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement
เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ
เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปกด้วย
ความปลอดภัยกับ
E-Commerce
ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด
และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่าCA
(Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง(Authentication)
รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล
(Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation)
เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature) ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย
ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว
สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ
โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ
กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
การชำระเงินบน
E-Commerce
จากผลการวิจัยพบว่า
วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต
สำหรับในประเทศไทย
ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต
อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct
Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต
มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink
ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร
และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า
หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro
Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด
หรือเครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป
จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม
E-Payment จ่ายเงินออนไลน์ง่ายๆ ไม่ต้องพกเงินสด
ในปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี
ที่ได้มีการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อแสวงหาความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
ดังเช่นการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบ e-Payment หรือ Electronic
Payment System ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับการใช้งานของเทคโนโลยี
และวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน
ซึ่งจะมีลักษณะเป็นกระบวนการส่งมอบในลักษณะของการโอนชำระเงินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย
เช่น ระบบอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ที่มีตัวกลาง Payment Gateway
ในรูปแบบ Website ที่ทำให้สามารถทำการชำระค่าบริการ
หรือทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผ่านบัตรเครดิตได้
E-Payment
โดยทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
เพื่อลดงบประมาณในการผลิตธนบัตร ลดปัญหาในการฟอกเงิน หลบเลี่ยงภาษี
เพื่อทำให้การเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งระบบ Electronic Payment System นี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งหากธุรกิจใดที่ต้องการใช้งาน
จำเป็นจะต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนเกิดการใช้งาน และธุรกิจ Electronic
Payment System ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบด้วยบริการทั้งหมด
8 ประเภทดังนี้
1. การเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) คือมูลค่าของเงินที่ถูกบันทึกในสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งอาจมาจากการใช้ชำระค่าสินค้า หรือทำธุรกรรมอื่นๆ แทนเงินสด
2.บริการเครือข่ายของบัตรเครดิต คือเครือข่ายที่จะให้บริการในการรับส่งข้อมูลทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังผู้ให้บริการบัตรเครดิตต่างๆ
3. บริการเครือข่าย EDC Network คือจุดเชื่อมโยงเครือข่ายของการให้บริการอุปกรณ์
หรือเครื่องมือที่รับส่งข้อมูลการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
4. บริการสวิตชิ่งในการชำระเงิน (Transaction
Switching) คือบริการที่เป็นส่วนรวม
หรือจุดเชื่อมต่อของการรับส่งข้อมูลการชำระเงิน
ให้กับผู้ให้บริการตามที่ได้ตกลงกันไว้
5. บริการหักบัญชี (Clearing) คือการบริการในการรับส่งข้อมูล ตรวจสอบ และยืนยันในคำสั่งของการชำระเงิน
เพื่อให้กระบวนการชำระดุลระหว่างเจ้าหนี้ และลูกหนี้ให้สำเร็จ
6. บริการชำระดุล (Settlement) คือบริการระบบการชำระเงินที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า
เพื่อหักเงินของผู้ใช้บริการไปให้เจ้าหนี้
7. บริการรับชำระเงินแทน
บริการที่คิดขึ้นมาเพื่อชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเจ้าหนี้
8. บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์
หรือผ่านทางเครือข่าย เป็นการชำระเงินผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แต่จะไม่มีการเก็บเงินไว้
E-Wallet
E-Wallet คือ
กระเป๋าเงินส่วนตัวของสมาชิก เพื่อใช้ซื้อสินค้าเว็บไซด์เว็บ Bookbik เท่านั้นซึ่ง e-wallet เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ความสะดวกกับเพื่อนสมาชิกในการซื้อสินค้า
( โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกสามารถชำระค่าสินค้าโดย การตัดบัญชีธนาคารอัตโนมัติ internet
banking, การโอนเงิน, บัตรเครดิต หรือ เลือก
ที่จะไปชำระที่ เซเว่น ได้ตามการซื้อปกติทุกอย่าง )
ขั้นตอนการใช้งาน e-Wallet แค่เติมเงินเข้า e-Wallet ของตัวเองก่อน
จากนั้นก็สามารถซื้อสินค้าได้โดยหักเงินจาก e-Wallet จะสังเกตเห็นว่า
หลังจาก LOG IN ที่เว็บ bookbik.com แล้วที่หน้าเว็บก็จะแสดงรายละเอียด
e-Wallet ของสมาชิก
สมมติว่า สมาชิกเติมเงินเข้า e-Wallet 200 บาท หลังจากเติมเงินเข้าไปแล้ว e-Wallet ระบบจะแสดงให้เห็นว่า
สมาชิกมีเงินใน e-Wallet 200 บาท และสมมติว่า
สมาชิกซื้อสินค้า เช่น itunes ราคา 30 บาท
โดยเลือกชำระเงินจาก e-Wallet เมื่อทำรายการซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วระบบก็จะตัดเงิน
30 บาทจาก
e-Wallet และจะเหลือเงินใน
e-Wallet 170 บาท ซึ่งเงิน 170 บาทที่เหลืออยู่นั้น
สมาชิกสามารถเก็บไว้ใช้สำหรับการซื้อสินค้าในครั้งต่อๆได้
ไฟร์วอลล์ (Firewall)
คือระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซึ่งจะทำหน้าที่เปิดและปิด การเข้าถึงจากภายนอก (เช่น จากอินเตอร์เน็ต)
เข้าถึงเครือข่ายภายใน (เช่น เครือข่ายภายในองค์กร หรือคอมพิวเตอร์ส่วนตัว) ได้
อาจพูดได้ว่า Firewall ก็เหมือนยามหน้าประตูของคอมพิวเตอร์
ซึ่งการเข้าถึงจากภายนอกจะต้องผ่านให้ Firewall ตรวจสอบก่อนว่าสามารถเข้าระบบเครือข่ายภายในได้หรือไม่
Firewall โดยจะมีการกำหนดกฎระเบียบบังคับใช้เฉพาะเครือข่าย
ซึ่งหมายความว่าหากการเข้าถึงนั้นถูกต้องตามที่ Firewall กำหนดไว้
ก็จะเข้าถึงเครือข่ายได้ หากไม่ตรงก็จะเข้าถึงไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่า Default
deny นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น